
ในช่วงที่กีฬาคาราเต้ไทยกำลังเป็นที่จับจ้องรวมไปถึงการยกระดับและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากจะดูจากความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมบรรดาแชมป์ต่างๆในเวทีนานาชาติที่นักคาราเต้ไทยกอบโกยเข้ามาก็ประเมินได้แล้วว่ากีฬานี้กำลังอยู่ในจุดที่พีคที่สุด โดยเฉพาะผลงานส่วนตัวของนักกีฬาไทยที่ไปสร้างชื่อกระฉ่อนทำให้หลายประเทศในระดับโลกไม่กล้าที่จะขีดชื่อประเทศไทยออกจากการลุ้นแชมป์
แต่ในการที่จะพัฒนาให้ได้ผลระยะยาวนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือบรรดานักคาราเต้เยาวชนและถ้าถามว่าใครคือนักคาราเต้เยาวชนที่ดีที่สุดในเวลานี้ย่อมหนีไม่พ้น "จ้าจีน" ณีรนุช แตงเลี้ยง สาวสวยวัย 18 ปี ผู้ที่ตะลุยมาทุกเวทีในระดับเยาวชนทั้งในไทยและนานาชาติ แล้วยังได้แชมป์เยาวชนเอเชียเป็นสมัยที่ 2 ของตัวเองแบบสดๆร้อนๆ เพียงเท่านี้ก็น่าจะบ่งบอกได้แล้วว่า "นี่แหละของจริง"
สาวสวยนักคาราเต้ไทยวัย 18 ปี เล่าให้ฟังว่า "เริ่มเล่นกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ซึ่งก่อนหน้านี้เล่นกีฬาเทควันโดเพียง 3 วัน แต่พอเห็นกีฬาคาราเต้ที่สอนอยู่ข้างๆก็เกิดความสนใจเลยลองไปเล่น โดยมีครูกุ่ย (พลธวัฒน์ วราสุทธิพันธุ์) หรือพี่โบ๊ท เป็นครูสอนคาราเต้คนแรก แต่จุดที่ทำให้ชอบจริงๆก็คือเล่นได้เพียง 3 เดือนแล้วไปลงแข่งขันและก็ได้เหรียญทองทำให้ยิ่งชอบมากขึ้น"
.jpg)
นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดาของแชมเปี้ยนสาวคนนี้เหมือนชีวิตถูกกำหนดมาต้องเดินทางสายนี้เท่านั้น ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่งจากวันนั้นที่เธออายุเพียง 7 ขวบก็ได้ตระเวณแข่งขันหลากหลายรายการเพื่อสั่งสมประสบการณ์อยู่ราวๆ 2 ปี ก็ได้เริ่มแข่งขันอย่างเป็นทางการจริงๆซึ่งเป็นการแข่งขันในระดับชาตินั่นก็คือ "กีฬาเยาวชนแห่งชาติ"
"เริ่มแข่งขันอย่างเป็นทางการจริงๆก็ในกีฬาเยาวชนแห่งชาติปี 2552 ตอนนั้นอายุ 9 ขวบ ลงในนามทีมกรุงเทพมหานคร ส่วนผลงานก็ได้มา 1 เหรียญเงิน แต่กีฬาคาราเต้จะมีการแบ่งรุ่นอายุที่ต่างจากกีฬาอื่นๆ โดยหนูอายุ 9 ขวบก็จะเล่นในรุ่นอายุ 9-13 ปี ถือว่าแบกอายุมากพอสมควร แต่ในความรู้สึกก็ไม่แตกต่างกันมากนักเพราะตอนนั้นหนูตัวสูงพอๆกับเด็กอายุ 11-12 ปีเลย มันเลยทำให้ดูไม่เหมือนเด็ก 9 ขวบ ซึ่งการแข่งครั้งนี้ยอมรับว่าตื่นเต้นมากเพราะดูยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยแข่งมา"
.jpg)
ในเวลาต่อมา "จ้าจีน" ก็ได้มีโอกาสแข่งขันในนามเยาวชนทีมชาติไทยซึ่งถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งและเชื่อไหมว่าตอนนั้นเธออายุเพิ่งจะ 12 ปีเท่านั้นเอง โดยเล่าว่า
"ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากๆที่ได้มีโอกาสติดทีมชาติไทยไปแข่งที่มาเลเซียซึ่งเป็นรายการชิงแชมป์ของมาเลเชียและยังเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกอีกด้วย อาจจะเป็นเพราะผลงานของตัวเองในกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่สามารถคว้าเหรียญทองได้หลังจากที่ครั้งแรกได้เหรียญเงิน ส่วนผลงานในนามทีมชาติครั้งแรกก็ได้ 1 เหรียญทองประเภทต่อสู้เดี่ยว กับ 1 เหรียญทองแดงประเภทต่อสู้ทีม ซึ่งยอมรับว่าดีใจมากๆ"


นี่เพียงในนามทีมชาติครั้งแรกก็คว้าเหรียญทองซะแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นถ้าดูในประเทศไทยเวทีระดับเยาวชนแห่งชาติตั้งแต่อายุ 9 ขวบที่ได้เหรียญเงิน จนตอนนี้ 18 ปี มีเพียงครั้งเดียวที่ได้รองแชมป์คือที่ "ชุมพร-ระนองเกมส์" ส่วนที่เหลือฟาดแชมป์ทุกรายการและทุกปีที่แข่งขัน ทำให้ "จ้าจีน" คือสุดยอดของกลุ่มเยาวชนไทยไม่ว่าจะแข่งรายการอะไรก็หาผู้ที่จะมาต่อกรได้ยาก
เมื่อเป็นเช่นนั้นในระดับเยาวชนชิงแชมป์เอเชียจึงเป็นอีก 1 เวทีที่เธอจะต้องไปพิสูจน์ความเป็นของจริง แต่ทว่าในปีแรกปี 2014 อาจจะเกิดความเกร็งๆทำให้ได้เพียงเหรียญทองแดง ซึ่งเชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะฝึกซ้อมอย่างหนักจนในครั้งที่สองบนเวทีเอเชียปี 2016 ผงาดคว้าเหรียญทองได้อย่างสมศักดิ์ศรีและยังเป็นแชมป์แรกในระดับเอเชียของเจ้าตัวอีกด้วย ถ้าถามว่าเหรียญไหนมีความสำคัญกับชีวิตมากที่สุดก็คงจะเป็นเหรียญนี้นี่แหละ

เยาวชนชิงแชมป์เอเชียปี 2017 "จ้าจีน" ทะลุเข้าไปป้องกันแชมป์ได้อีกครั้งแต่พลาดท่าได้เหรียญเงิน อย่างไรก็ตามล่าสุดในปี 2018 เจ้าตัวกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหลังทวงแชมป์คืนได้สำเร็จและได้ส่งใหญ่เธอเป็นแชมป์เอเชียสมัยที่ 2 อีกด้วย และยังเป็นการส่งท้ายการแข่งขันในระดับเยาวชนอย่างสวยงาม
เท่ากับว่าตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ "จ้าจีน" ลงแข่งขันในระดับเยาวชนทำผลงานได้อย่างสุดยอดไม่ว่าจะเล่นรายการไหนๆทั้งในไทยและต่างประเทศก็จะมีเหรียญรางวัลติดมือ แล้วส่วนใหญ่ 90% จะเป็นเหรียญทองอีกด้วย นั่นทำให้เธอเป็นของรักของหวงของสมาคมคาราเต้ไทยที่พยายามต่อยอดให้เธอในขั้นที่สุดยิ่งกว่า เพราะหลังจากนี้ "จ้าจีน" จะเล่นในระดับโอเพ่นอย่างเต็มตัว
แต่ก็ยังคงเป็นที่จดจำได้เสมอว่าครั้งหนึ่งเคยมีนักกีฬาคาราเต้ที่ฟาดแชมป์ระดับเยาวชนและสร้างชื่อให้ไทยอย่างต่อเนื่อง 1 ทศวรรต จนเป็นตำนานนามว่า "จ้าจีน" ณีรนุช แตงเลี้ยง และเชื่อว่าสถิติการคว้าแชมป์ในระดับเยาวชนหาใครที่จะลบออกไปได้ยากอีกด้วย







.jpg)
.jpg)
.jpg)